พานขันหมาก
ประเพณีการยกขันหมากสู่ขอนั้นเป็นพิธีมงคลที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการคาราวะผู้ปกครองฝ่ายเจ้าสาว
เป็นการบอกกล่าวขออนุญาตที่เจ้าบ่าวจะสู่ขอเจ้าสาวไปเป็นภรรยา ประวัติที่มาของพานขันหมากนั้น
มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงบัญญัติว่า
ถ้าชาวไทยทำการรับแขกเป็นสนามใหญ่มีการอาวาห์มงคลหรือวิวาห์มงคลแล้ว
ให้ร้อยกรองดอกไม้เป็นรูปพานขันหมาก และให้เรียกว่า “พานขันหมาก”
เมื่อพูดถึงพานขันหมาก เรามักจะนึกถึง พานขันหมาก พานเชิญขันหมาก พานสินสอดทองหมั้น
พานแหวน พานขนมผลไม้ และพานต้นกล้วย ต้นอ้อย จำนวนของพานขันหมากที่ใช้สำหรับ
งานแต่งงานในปัจจุบันจะแปรผันตามรูปแบบการจัดขบวน
ลักษณะเด่นของพานขันหมากชาววังจะอยู่ที่ความละเอียด ประณีต มีการวางลวดลายที่วิจิตรงดงาม
มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ มีการประดิดประดอยดอกไม้ ซึ่งต้องใช้ความละเอียด และเวลาในการจัดทำ
สูงกว่าพานขันหมากแบบปกติ
การจัดขันหมากฝีมือชาววังที่นิยมทำกันนั้นมี 2 แบบ คือ แบบใช้พลูจีบ กับแบบที่ไม่ใช้พลูจีบ
ซึ่งทั้ง 2 แบบจะใส่หมากพลูเป็นจำนวนคู่ อย่าง คู่ 4 หรือ คู่ 8 นำมาจัดเรียงให้สวยงาม
สาเหตุที่ต้องมีการใส่หมากพลูลงไปในพานขันหมากก็เพราะในสมัยก่อนนิยมกินหมาก
จึงมีการใช้หมากพลูเป็นเครื่องต้อนรับเพื่อแสดงไมตรีจิต
เวลาแขกมาเยือนก็ยกเชี่ยนหมากมารับรอง ซึ่งหมายถึง ยินดีต้อนรับอย่างเป็นกันเองด้วยไมตรีจิต
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจะไปสู่ขอหรือแต่งงานกับลูกสาวใคร ซึ่งเป็นคนต่างบ้านต่างถิ่น
แม้จะมีของอย่างอื่น แต่ก็ต้องมีหมากพลูไปคำนับเพื่อแสดงไมตรีจิตด้วย
ดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพานขันหมากได้แก่ ดอกรัก หมายถึง ให้มีความรักที่เหนียวแน่น
ดอกบานไม่รู้โรย หมายถึง ความรักที่ยืนยง ไม่จืดจาง และดอกดาวเรือง หมายถึง
ความเจริญรุ่งเรืองสำหรับคู่บ่าวสาว ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ต้องมีบนพาน
คือ หมากพลู ใบเงิน ใบทอง ใบนาก ข้าวเปลือก งา ถั่วเขียว ถั่งทอง ถุงเงิน ถุงทอง
ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความหมาย อย่างข้าวเปลือกให้ไว้เป็นพันธุ์ข้าวสำหรับเป็นทุนเริ่มชีวิตครอบครัว
เพราะแต่เดิมชาวไทยทำกสิกรรมปลูกข้าวเป็นหลัก หนุ่มสาวที่แต่งงานใหม่เมื่อต้องมีเหย้ามีเรือน
แยกไปจากพ่อแม่ จึงต้องมีการปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูก
ผลไม้ ที่เป็นอาหารอันจำเป็นต่อการยังชีพในอนาคต ส่วนขนมมงคลต่าง ๆ อาทิ
ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก หมายถึงการหยิบเงินหยิบทองให้ร่ำรวยในชีวิตคู่
ส่วนขนมจ่ามงกุฎ เป็นการเสริมให้มียศตำแหน่งในหน้าที่การงาน ขนมชั้น หมายถึง
ความสามัคคี มั่นคง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคู่บ่าวสาว ขนมเสน่ห์จันทร์
ให้มีความหลงรักซึ่งกันและกันไม่เสื่อมคลาย ขนมกง หมายถึงความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด
และขนมลูกชุบ หมายถึงการมีลูกมีหลาน สำหรับพานต้นกล้วย ต้นอ้อย
จะเป็นการให้บ่าวสาวนำกล้วยอ้อยดังกล่าวไปปลูกร่วมกัน อาจเป็นการทำนายอย่างหนึ่ง
ถ้าหากบ่าวสาวปลูกได้เจริญงอกงาม ก็จะบ่งบอกถึงความรักที่สมบูรณ์ มีลูกเต็มบ้าน
หลานเต็มเมือง
การจัดพานขันหมากชาววังจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ที่จะช่วยสร้างความประทับใจในพิธีมงคลสมรสอย่างมิรู้ลืม
รูปแบบพานในพิธีมงคลสมรสตามประเพณีไทย
พานขันหมาก เป็นพานของฝ่ายชายเชิญมาที่บ้านฝ่ายหญิง ซึ่งประกอบไปด้วย หมากพลู
ใบเงิน ใบทอง ใบนาก ข้าวเปลือก งา ถั่วเขียว ถั่วทอง ถุงเงิน ถุงทอง ดอกรัก ดอกดาวเรือง
และดอกบานไม่รู้โรย
พานต้นกล้วย-ต้นอ้อย มีไว้สำหรับใส่ต้นกล้วย-ต้นอ้อย ซึ่งสมัยโบราณต้องการให้มีผลไม้
เพื่อสื่อถึงให้คู่บ่าวสาวทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง
พานเชิญขันหมาก เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านฝ่ายหญิง และผ่านประตูเงินประตูทอง
ฝ่ายหญิงก็จะลงมาเชิญขันหมากขึ้นเรือน
เป็นธรรมเนียมมารยาทที่เชื้อเชิญญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายขึ้นเรือน
พานแหวน ใช้สำหรับใส่แหวนหมั้นของชายหญิง ในกรณีที่มีการหมั้น-การแต่งงานเกิดขึ้น
พานขนม พานที่ใส่ขนมมงคล 9 อย่าง เพื่อส่งเสริมชีวิตคู่ให้มีความสุขความเจริญ
ได้แก่ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก ขนมจ่ามงกุฎ ขนมเสน่ห์จันทร์
ขนมลูกชุบ ขนมกง และขนมชั้น
พานสินสอด เป็นพานสำหรับใส่เงิน ทอง เพชร นาค ไว้ในพานเดียวกัน
แต่ถ้ามีฐานะจะแยกพานสินสอดอย่างละพานก็ได้
พานเทียนแพ มีไว้สำหรับบูชาพระรัตนตรัย และกราบไว้พ่อ-แม่ เป็นการคาราวะ
ขอพรขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการขอพรจากผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายชาย-หญิง
พานรดน้ำสังข์ ใช้สำหรับพิธีหมั้นตอนเช้า ซึ่งจะมีการรดน้ำสังข์ เพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิตคู่